วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 2

วันที่ 15 พฤศจิกายน  2556
วิชา  การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลา 11.30 - 14.00 น.

บันทึกการเข้าเรียน

     ความหมายของเด็กพิเศษ
  1.ทางการแพทย์
          เรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เด็กพิการ ผิดปกติ บกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ ทางกาย ทางสติปัญญา ทางจิตใจ
 2. ทางการศึกษา
          เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตนเอง จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติ ทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
  สรุป เด็กพิเศษคือ
          -เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร จากการให้การช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
          -มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย
          -จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น การช่วยเหลือ การบำบัด การฟื้นฟู
          -การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล


     ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
     1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง IQ สูงกว่า 120
          มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"


    2. กลุ่มเด็กที่มีลัษณะทางความบกพร่อง
          กระทรวงศึกษาธิารได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท (จัดเพื่อคัดแยกเด็กให้เหมาะสมกับสถาบันที่เขาควรจะได้รับการศึกษา)


          1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
          2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
          3. เด็กบกพร่องทางการเห็น
          4. เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
          5. เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
          6. เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          7. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
          8. เด็ฏออทิสติก
          9. เด็กพิการซ้ำซ้อน

    
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา Children With Intellectual Disabilities

     เด็กบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบกับเด็กในอายุระดับเดียวกัน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
     
 1. เด็กเรียนช้า

-สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้

-เรียนล่าช้ากว่าปกติ
-ขาดทักษะการเรียนรู้
-บกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย
-มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
 2.เด็กปัญญาอ่อน
-เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
-แสดงลักษณะเฉพาะ คือ IQต่ำ
-ความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-มีความจำกัดทางด้านทักษะ
-มีพัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
-มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม


 เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามความบกพร่องทางสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม


          1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
               ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรัษาพยาบาลเท่านั้น


          2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
               ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัด การช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรเบื้องต้นง่ายๆ
          (เด็ก 2 กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. Custodial Mental Retardation)


          3.เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49
               พอฝึกและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า (T.M.R. Trainable Mentally Retardation)


          4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
               เรียนในชั้นประถมได้ ฝึกงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วไปว่า (E.M.R. Educable Mentally Retardation)

          ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา


          -ไม่พูด/พูดได้ไม่สมวัย
          -ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
          -ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
          -ทำงานช้า
          -รุนแรงไม่มีเหตุผล
          -อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
          -ช่วยตัวเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน


     เด็กบกพร่องทางการได้ยิน Children Hearing Impaired


     เด็กบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือสูญเสียทางการได้ยิน เป็นเหตุให้ฟังเสียงต่างๆไม่ชัดเจน แบ่งเป็น 2 ประเภท
     
    1.เด็กหูตึง


       หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟังจำแนกได้ 4 กลุ่มดังนี้

          1.1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
               เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบ เสียงจากที่ไกล


          1.2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
               -เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง3-5ฟุต ไม่เห็นหน้าผู้พูด
               -จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
               -มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบา เสียงผิดปกติ


          1.3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
               -เด็กจะมีปัญหาการรับฟังเข้าใจคำพูด
               -เมื่อพูดกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
               -มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสีบงพร้อมกัน
               -มีพัฒนาการทางภาษา และการพูดช้ากว่าปกติ
               -พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนก็ไม่พูด


         1.4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
               -เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
               -ได้ยินเฉพาะเสียงที่ใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
               -การพูดด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
               -เด็กจะมีปัญหาการแยกเสียง
               -เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด


     2.เด็กหูหนว


          -เด็กที่สูญเสียการได้ยินมาก ถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
          -เครื่องช่วยฟัง ไม่สามารถช่วยได้
          -ไม่สามารถเข้าใจ หรือใช้ภาษาพูดได้
          -ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

          ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
          -ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
          -ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
          -พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
          -พูดด้วยเสียงแปลง มักเปล่งเสียงสูง
          -พูดด้วยเสียงต่ำ หรือเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
          -เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
          -รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
          -มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย


     เด็กบกพร่องทางการเห็น Children With Visual Impairment


     -เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
     -มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
     -สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
     -มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา (คนปกติ120องศา)
     แบ่งเป็น 2 ประเภท

     1. เด็กตาบอด 


           -เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
           -ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆในการเรียนรู้
           -มีสายตาข้างดี มองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาถึงบอดสนิท
           -มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา


     2. เด็กตาบอดไม่สนิท


           -เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
           -สามารถมองเห็นได้บ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
           -เมื่อทดสอบสายตาข้างดี จะอยู่ในระดับ 6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200
           -มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา


          ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็


          -เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
          -มองเห็นสีที่ผิดไปจากปกติ
          -มักบ่นว่าปวดหัว คลื่นใส้ ตาลาย คันตา
          -ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
          -เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
          -ตาและมือไม่สัมพันกัน
          -มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น