วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 6

วันที่ 13 ธันวาคม 2556
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลาเรียน 11.30-14.00 น.

บันทึกการเข้าเรียน

    - อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มนำเสนองาน

หัวข้อที่อาจารย์ให้นำเสนอ
1. เด็กออทิส                               2. เด็กดาวน์ซินโดรม       
3. เด็กสมองพิการ (เด็กซีพี)       4. เด็กสมาธิสั้น              
5. เด็กแอลดี                               6. เด็กปัญญาเลิศหรือ IQ สูง


สมาชิกกลุ่มในแต่ละกลุ่ม    
                                                                                
1.  น.ส. จินตนา       น.ส. ณัฐวดี       น.ส. นพมาศ  < เด็กออทิสติก >  
                           
2.  น.ส. กรรจิรา       น.ส. บงกช        น.ส. พัชรี         < เด็กดาวน์ซินโดรม >  
                          
3.  น.ส. นฤมล         น.ส. เณฐิดา      น.ส. ชิดชนก     <  เด็กสมองพิการ >    
                   
4.  น.ส สุภาภรณ์     น.ส รัตติกาล     น..นิตยา      น.ส ประทานพร    <  เด็กสมาธิสั้น >

5.  น.ส อลิสา          น.ส กรกนก       น.ส รสิตา       น.ส ชุติภา  <  เด็กแอลดี >          
      
6.  น.ส อรอุมา         น.ส วศินี      <  เด็กปัญญาเลิศ >                                                        

บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 5



วันที่ ธันวาคม 2556
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลาเรียน 11.30-14.00 น.


บันทักการเข้าเรียน

พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    
          การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆ สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้

เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
          - มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน
          -พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายด้าน
          -พัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าไปด้วย

ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการ

         1. ปัจจัยด้านชีวภาพ
         2. ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม
         3. ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
         4. ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด

 สาเหตุที่ทําให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ

         1. โรคทางพันธุกรรม
         2. โรคทางระบบประสาท
         3. การติดเชื้
         4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม
         5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด
         6. สารเคมี
         7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม

แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ

        1. การซักประวัติ
               - โรคประจําตัวต่างๆ
               - การเจ็บป่วยในครอบครัว
               - โรคทางพันธุกรรม
               - ประวัติการฝากครรภ์
               - ประวัติเกี่ยวกับการคลอด
               - พัฒนาการที่ผ่านมา
               - การเล่นตามวัยการช่วยเหลือตนเอง
               - ปัญหาพฤติกรรม
               - ประวัติอื่นๆ

         2. การตรวจร่างกาย
               2.1 ตรวจร่างกายทั่วๆไป
               2.2 ภาวะตับม้ามโต
               2.3 ผิวหนัง
               2.4 ระบบประสาทต่างๆ
               2.5 ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม (child abuse)
               2.6 ระบบการมองเห็นและการได้ยิ

          3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ

          4.การประเมินพัฒนาการ
              - การประเมินแบบไม่เป็นทางการ

            การประเมินที่ช้ในเวชปฏิบัติ
               - แบบทดสอบ Denver II , Gesell Drawing Test
               - แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด - 5 ปี สถาบันราชานุกูล สามารถใช้ในการคัดกรอง ประเมินพัฒนาการและส่งเสริมพัฒนาการ

แนวทางในการดูแลรักษา

          1. หาสาเหตุทที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
          2. การตรวจค้นหาความผิดปกติร่วม
          3. การรักษาสาเหตุโดยตรง
          4. การส่งเสริมพัฒนาการ
          5. ให้คําปรึกษากับครอบครัว

สรุปขั้นตอนในการดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ

          1. การตรวจคัดกรองพัฒนากร (Developmental screening)
          2. การตรวจประเมินพัฒนาการ (Developmental assessment)
          3. การให้การวินิจฉัยและหาสาเหตุ (Diagnosis)
          4. การให้การรักษาและส่งเสริมพัฒนาการ (Treatment and early Intervention)
          5. การติดตามและประเมินผลการรักษาเป็นระยะ (Follow up and evaluation)

บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 4

วันที่ 29 พฤศจิกายน  2556
วิชา  การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลา 11.30 - 14.00 น.

บันทึกการเข้าเรียน

6.เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ( Children with Behaved and Emotional Disorders)
     หมายถึง  เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้ เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตัวเองไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย

แบ่งได้ 2 ประเภท
- เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ 
- เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ 

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก 
- เด็กสมาธิสั้น Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders  (ADHD)
- เด็กออทิสติก Autistic หรือ ออทิสซึ่ม Autism 

7.เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ Children with Learning Disabilities (LD)
     หมายถึง  เด็ก LD มี IQ เท่ากับเด็กปกติทั่วไป เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง เด็กมีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือ พูด การเขียน ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย

8.เด็กออทิสติก   Autistic (ไม่พูดจา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว)
     หมายถึง หรือ ออทิสซึ่ม Autism เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมายพฤติกรรม สังคม และ ความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้ เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

9.เด็กพิการซ้อน  Children with Multiple Handicaps
     หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่า 1 อย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก เช่น เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด เด็กที่หูหนวกและตาบอด


กิจกรรมในชั้นเรียน 

-อาจารย์ให้ดูโทรทัศน์ครู  ผลิบานผ่านมือครู  ตอน ห้องเรียนแรกของเด็กพิเศษ
-อาจารย์ให้สรุปองค์ความรู้ 

บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 3

วันที่ 22 พฤศจิกายน  2556
วิชา  การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลา 11.30 - 14.00 น.

บันทึกการเข้าเรียน

เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านการพูดและภาษา

     -พูดไม่ชัด พูดเสียงเพี้ยน อวัยวะพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดั่งตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด เช่น


       1. ออกเสียงผิดปกติ เสียงเพี้ยนต่างจากมาตราฐาน เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาด เป็น ฟาด เพิ่มหน่วยเสียงเข้าไปโดยไม่จำเป็น
       2. ผิดปกติด้านจังหวะและการพูด เช่น พูดรัว พูดติดอ่าง
       3. ผิดปกติด้านเสียง ระดับสูง ความดัง คุณภาพเสียง
       4. ความผิดปกติทางการพูดและภาษา เนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมองโดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ Aphasia


           4.1 Motor aphasia
                     เด็กเข้าใจคำถาม พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก พูดช้า พอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้ พูดไม่ถูกไวยกรณ์
           4.2 Wernicke's aphasia
                    เด็กไม่เข้าใจคำถาม ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย มักใช้คำผิดและคำที่ไม่มีความหมาย
           4.3 Contuction aphasia
                    พูดไม่ติดขัด เข้าใจคำถาม พูดตามไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
           4.4 Nominal aphasia
                    ออกเสียงได้ เข้าใจคำถาม พูดตามได้ บอกชื่อวัตถุไม่ได้ ลืมชื่อ ไม่เข้าใจความหมายของคำ มักเกิดไปร่วมกับ Gerstmann's syndrome
           4.5 Global aphasia
                    ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน พูดไม่ได้เลย
           4.6 Sensory agraphia
                     เขียนไม่ได้ เขียนชื่อวัตถุสิ่งของไม่ได้ มักเกิดไปร่วมกับ Gerstmann's syndrome
           4.7 Motor agraphaia
                    ลอกตัวหนังสือไม่ได้ เขียนตามคำบอกไม่ได้
           4.8 Cortical alexia
                    เด็กอ่านไม่ออกเพราะไม่เข้าใจภาษา
           4.9 Motor alexia
                    เด็กเห็นตัวหนังสือ เข้าใจความหมายแต่อ่านออกเสียงไม่ได้
           4.10 Gerstmann's syndrome
                    - ไม่รู้ชื่อนิ้ว (Finger agnosia)
                    - ไม่รู้ซ้ายขวา (Allochiria)
                    -  คำนวณไม่ได้ (Acalculia)
                    -  เขียนไม่ได้ (Agraphia)
                    - อ่านไม่ออก (Alexia)
           4.11 Visual agnosia
                    มองเห็นวัตถุแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
           4.12 Auditory agnosia
                    เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยินแต่แปลความหมายของคำหรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ


ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา

-ในวัยทารกมักเสียงผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆและอ่อนแรง
-ไม่อ้อแอ้ภายใน 10 เดือน
-ไม่พูดภายใน 2 ขวบ
-ออกเสียงสะกดไม่ได้
-หลัง 3 ขวบแล้วพูดภาษาของเด็กก็ยังเข้าใจยาก
-หลัง 5 ขวบเด็กยังใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
-มีปัญหาในการสื่อความหมายพูดกระตุก
-ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย

บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 2

วันที่ 15 พฤศจิกายน  2556
วิชา  การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลา 11.30 - 14.00 น.

บันทึกการเข้าเรียน

     ความหมายของเด็กพิเศษ
  1.ทางการแพทย์
          เรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เด็กพิการ ผิดปกติ บกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ ทางกาย ทางสติปัญญา ทางจิตใจ
 2. ทางการศึกษา
          เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตนเอง จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติ ทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
  สรุป เด็กพิเศษคือ
          -เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร จากการให้การช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
          -มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย
          -จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น การช่วยเหลือ การบำบัด การฟื้นฟู
          -การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล


     ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
     1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง IQ สูงกว่า 120
          มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"


    2. กลุ่มเด็กที่มีลัษณะทางความบกพร่อง
          กระทรวงศึกษาธิารได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท (จัดเพื่อคัดแยกเด็กให้เหมาะสมกับสถาบันที่เขาควรจะได้รับการศึกษา)


          1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
          2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
          3. เด็กบกพร่องทางการเห็น
          4. เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
          5. เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
          6. เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          7. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
          8. เด็ฏออทิสติก
          9. เด็กพิการซ้ำซ้อน

    
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา Children With Intellectual Disabilities

     เด็กบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบกับเด็กในอายุระดับเดียวกัน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
     
 1. เด็กเรียนช้า

-สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้

-เรียนล่าช้ากว่าปกติ
-ขาดทักษะการเรียนรู้
-บกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย
-มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
 2.เด็กปัญญาอ่อน
-เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
-แสดงลักษณะเฉพาะ คือ IQต่ำ
-ความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-มีความจำกัดทางด้านทักษะ
-มีพัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
-มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม


 เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามความบกพร่องทางสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม


          1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
               ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรัษาพยาบาลเท่านั้น


          2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
               ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัด การช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรเบื้องต้นง่ายๆ
          (เด็ก 2 กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. Custodial Mental Retardation)


          3.เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49
               พอฝึกและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า (T.M.R. Trainable Mentally Retardation)


          4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
               เรียนในชั้นประถมได้ ฝึกงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วไปว่า (E.M.R. Educable Mentally Retardation)

          ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา


          -ไม่พูด/พูดได้ไม่สมวัย
          -ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
          -ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
          -ทำงานช้า
          -รุนแรงไม่มีเหตุผล
          -อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
          -ช่วยตัวเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน


     เด็กบกพร่องทางการได้ยิน Children Hearing Impaired


     เด็กบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือสูญเสียทางการได้ยิน เป็นเหตุให้ฟังเสียงต่างๆไม่ชัดเจน แบ่งเป็น 2 ประเภท
     
    1.เด็กหูตึง


       หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟังจำแนกได้ 4 กลุ่มดังนี้

          1.1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
               เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบ เสียงจากที่ไกล


          1.2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
               -เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง3-5ฟุต ไม่เห็นหน้าผู้พูด
               -จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
               -มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบา เสียงผิดปกติ


          1.3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
               -เด็กจะมีปัญหาการรับฟังเข้าใจคำพูด
               -เมื่อพูดกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
               -มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสีบงพร้อมกัน
               -มีพัฒนาการทางภาษา และการพูดช้ากว่าปกติ
               -พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนก็ไม่พูด


         1.4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
               -เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
               -ได้ยินเฉพาะเสียงที่ใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
               -การพูดด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
               -เด็กจะมีปัญหาการแยกเสียง
               -เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด


     2.เด็กหูหนว


          -เด็กที่สูญเสียการได้ยินมาก ถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
          -เครื่องช่วยฟัง ไม่สามารถช่วยได้
          -ไม่สามารถเข้าใจ หรือใช้ภาษาพูดได้
          -ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

          ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
          -ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
          -ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
          -พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
          -พูดด้วยเสียงแปลง มักเปล่งเสียงสูง
          -พูดด้วยเสียงต่ำ หรือเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
          -เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
          -รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
          -มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย


     เด็กบกพร่องทางการเห็น Children With Visual Impairment


     -เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
     -มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
     -สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
     -มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา (คนปกติ120องศา)
     แบ่งเป็น 2 ประเภท

     1. เด็กตาบอด 


           -เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
           -ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆในการเรียนรู้
           -มีสายตาข้างดี มองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาถึงบอดสนิท
           -มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา


     2. เด็กตาบอดไม่สนิท


           -เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
           -สามารถมองเห็นได้บ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
           -เมื่อทดสอบสายตาข้างดี จะอยู่ในระดับ 6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200
           -มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา


          ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็


          -เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
          -มองเห็นสีที่ผิดไปจากปกติ
          -มักบ่นว่าปวดหัว คลื่นใส้ ตาลาย คันตา
          -ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
          -เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
          -ตาและมือไม่สัมพันกัน
          -มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 1

วันที่ 8 พฤศจิกายน  2556
วิชา  การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลา 11.30 - 14.00 น.


บันทึกการเข้าเรียน

 - > อาจารย์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาในรายวิชา และแจก Course Syllabus
      -  อาจารย์อธิบายการบันทึกบล็อก
      -  อาจารย์ให้นักศึกษาทำ Mind mapping เกี่ยวกับความรู้เดิมที่มีในเรื่อง เด็กพิเศษ